JR Pass หรือย่อมาจาก Japan Rail Pass เป็นตั๋วรถไฟแบบเหมาจ่าย โดยสามารถเดินทางได้ด้วยรถไฟด่วน Limited Express, รถไฟความเร็วสูง Shinkansen แถมยังครอบคลุมไปถึง รถบัสและเรืออีกด้วย วันนี้ Daddy Gadget จะพาไปดูรีวิวการใช้ JR Pass แบบ All Area เดินทางเที่ยว Tokyo – Osaka – Nagano กันครับ
JR Pass มีกี่ประเภท ราคาเท่าไหร่บ้าง
JR Pass จะเป็นตั๋วที่รวม Group JR ไว้ที่ใบเดียวกัน แต่จะแยกเป็นภูมิภาคหลัก ๆ ได้อีก 6 ภูมิภาค ประกอบไปด้วย
- JR TOKYO Wide Pass
- JR EAST Pass (Tohoku area)
- JR EAST Pass (Nagano, Niigata area)
- JR WEST Rail Pass
- JR Hokkaido Rail Pass
- JR FLEX Japan Tourist Pass
- JR Shikoku Rail Pass
- JR Kyushu Rail Pass
- JR Rail Pass All Area
โดยในแต่ละภูมิภาคก็จะมีตั๋วที่แยกย่อยเส้นทางลงไปอีก เราสามารถเลือกประเภทตั๋วตามแผนการเดินทางที่เราอยากจะไปเที่ยวได้เลยครับ ทำให้สามารถเดินทางได้ในราคาที่ถูกลง หรือสำหรับใครที่เลือกดูตั๋วประเภทต่างๆแล้วแต่ไม่มีตั๋วที่ตรงใจ ทางญี่ปุ่นก็มีตั๋วแบบพิเศษคือ JR Rail Pass All Area ที่ใช้เดินทางได้ทั่วประเทศเลยครับ ส่วนราคาก็จะแรงขึ้นมาใช้ได้อยู่เหมือนกันครับ
ในการเลือกซื้อตั๋ว JR Pass ทาง Daddy Gadget ก็แนะนำให้ดูตามโซน/ภูมิภาคที่จะไปเที่ยว แล้วเลือกตั๋วที่มีเส้นทางครอบคลุมที่เที่ยวที่เราจะไป รวมถึงเลือกจำนวนวันที่จะไปครับ เพราะราคาก็จะขึ้นอยู่กับเส้นทางและจำนวนวันที่จะใช้ด้วยครับ
นอกจากนี้ การซื้อตั๋วยังมีการแบ่งที่นั่งออกเป็น 2 ประเภทด้วย คือ Ordinary และ Green car ความแตกต่างเท่าที่ผมทราบคือ ที่นั่งแบบ Green car จะกว้างกว่า เงียบสงบ ปูพรมที่พื้นทั้งตู้รถไฟ พูดง่ายๆคือ เป็นเหมือนที่นั่ง Business Class นั่นเองครับ แน่นอน พวกผมต้องเลือก Ordinary ครับ ราคาถูกกว่าหลายบาทอยู่ครับ 555
หากใครก็ตามที่อยากลองเทียบค่าใช้จ่ายดูว่าควรซื้อตั๋วแบบไหนหรือใช้ตั๋วตอนช่วงการเดินทางไหนบ้าง สำหรับพวกผมใช้วิธีเทียบราคา Shinkansen แบบซื้อตั๋วราคาปกติเทียบทุกเส้นทางที่เราจะไปเที่ยวครับ อย่างของผมถ้าเทียบราคาแล้ว ผมนั่ง Shinkansen ทั้งทริปทั้งหมด 4 รอบถือว่าคุ้มค่าตั๋วแล้วครับ แถมตอนที่พวกผมขึ้นรถไฟ JR ทั่วไปแค่ไม่กี่สถานีในช่วงเวลาที่ตั๋วยังใช้ได้อยู่ พวกผมก็ไม่จำเป็นต้องซื้อตั๋วรถไฟเพิ่มครับ สามารถใช้ตั๋ว JR Rail Pass All Area เดินทางได้เลยครับ คุ้ม!
เดินทางกับ JR Pass All Area
ล่าสุดที่ผมไป เราซื้อ Pass แบบ JR Pass All Area โดยมันเป็น Pass ที่สามารถเดินทางทั่วประเทศญี่ปุ่นได้แบบเหมา ๆ ด้วยจำนวน 7 วันด้วยกัน
ราคา :
-
7 วัน ผู้ใหญ่ 7,764 บาท เด็ก 3,881 บาท
-
14 วัน ผู้ใหญ่ 12,373 บาท เด็ก 6,185 บาท
-
21 วัน ผู้ใหญ่ 15,830 บาท เด็ก 7,914 บาท
ถามว่าเหตุผลทำไมเราถึงเลือกซื้อ JR Pass แบบ All Area ก็เพราะว่าตารางเที่ยวของเรานั้น จะเริ่มจากขึ้นเครื่องไปลง Tokyo จากนั้นเดินทางไป Osaka จากนั้นกลับมาที่ Tokyo เพื่อเดินทางต่อไป Nagano นั่นเองครับ
Route 1 : Tokyo -> Osaka
เส้นทางแรกเราเดินทางจาก Tokyo ไป Osaka นะครับ ระยะทางอยู่ที่ 500 km โดยประมาณ ใช้เวลาเดินทางทั้งสิ้น 2 ชั่วโมง 53 นาที ครับ รายละเอียดและบรรยากาศเป็นยังไงบ้าง เดี๋ยวผมพาไปดูกันครับ
How to use Japan Rail Pass
เริ่มจากตอนที่เราจองที่นั่งในสถานี ทางสถานีก็จะบอกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการใช้ตั๋ว JR Pass ทั้งหมดนะครับ ซึ่งแน่นอนว่าทำออกมาให้เห็นภาพได้ชัดเจนดีครับ รายละเอียดประกอบไปด้วย
สิ่งที่ทำได้
- สามารถใช้ Bullet Train ได้ (ยกเว้น Nozomi และ Mizuho train)
- สามารถใช้กับ JR Express Train ได้
- สามารถใช้กับ Local JR Train ได้ทั้งหมด
- ใช้นั่งเรือ Ferry ไปเกาะ Miyashima ได้
สิ่งที่ทำไม่ได้
- ห้ามขึ้น Nozomi และ Mizuho train
- ห้ามขึ้น Subway และ Private Lines (เพราะว่าเป็นของคนละบริษัทกันนะครับ)
วิธีใช้
- สอดบัตรเข้าไปใน Gate ทางเข้าได้เลย
- และอย่าลืมเก็บบัตรไปด้วย
Ordinary Pass
- Non reserve seat จะเป็นแบบ First come First serve มาก่อนได้ก่อนนั่นเอง
- Reserve seat สามารถจองที่นั่งได้เหมือนกันครับ แต่ก็จะได้ที่นั่งเท่ากับจำนวนตั๋วนั่นเอง (เด็กทารก – เด็ก 6 ขวบนั่งฟรีถ้านั่งเก้าอี้เดียวกับผู้ใหญ่นะครับ ถ้าอยากให้นั่งสบายๆต้องจ่ายเงินจองที่นั่งเพิ่มขึ้นครับ ส่วนค่าตั๋วรถไฟเด็กอายุไม่เกิน 6 ขวบขึ้นฟรีอยู่แล้วครับ)
คำเตือน
- ถ้า Pass หาย หรือ โดนขโมย ต้องซื้อใหม่อย่างเดียว
Reserve ที่นั่งก่อนออกเดินทาง
เราหาตั๋วขาไปไม่เจอครับ เลยขออนุญาติใช้ตั๋วขาไปนากาโนะแทน สำหรับขาไปเราไปตอนเที่ยงครับ ก็ใช้วิธีจองที่นั่งตั้งแต่วันก่อนออกเดินทาง 1 วัน เราเดินทางข้ามจังหวัดไปพักที่ Osaka ก็จะมีกระเป๋าเดินทางด้วย ใครพกกระเป๋าไป เราก็แนะนำให้จองที่นั่งที่วางกระเป๋าขนาดใหญ่ (ขนาดกว้าง+ยาว+สูงเกิน160ซม.ขึ้นไป) ได้ด้วยครับ จะสะดวกมากกว่า
ที่วางกระเป๋าทั้งขบวน 16 ตู้ จะมีที่ให้วางอยู่ไม่กี่จุดครับ คือด้านหน้าสุดของขบวนและหลังสุดของขบวนครับ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงจองก่อนล่วงหน้า 1 วันไว้เผื่อๆครับ เพราะบางเวลาที่นั่งที่วางกระเป๋าขนาดใหญ่ได้จะเต็มครับ อาจต้องเลื่อนเวลาการเดินทางออกไปหรือเดินทางเร็วขึ้นครับ หรือหากใครที่ไม่ได้ใช้กระเป๋าเดินทางใหญ่มาก คุณสามารถวางกระเป๋าไว้บนชั้นวางด้านบนหัวของที่นั่งตัวเองได้ หรือวางไว้ตรงระหว่างขาตนเองได้ ก็ไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องตำแหน่งที่นั่งครับ จองที่นั่งนั่งตรงไหนก็ได้ครับ
เดินทางไป Tokyo Station ขึ้น Shinkansen
ก็เป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของเราในทริปนี้ครับ ได้เดินทางจากที่พักในย่าน Asakusa ไปยังสถานีโตเกียวเพื่อเตรียมตัวขึ้น Shinkansen ไปยัง Osaka ครับ ระบบระเบียบของที่ญี่ปุ่นนั้นทำได้ดีมาก สถานีก็ดูใหม่มาก และที่สำคัญนี่เป็น Main station ที่มีขนาดใหญ่โตและสำคัญมาก ๆ สำหรับประเทศญี่ปุ่นครับ
จุดเด่นของสถานีโตเกียวที่เป็นคล้าย ๆ Landmark นั่นก็คือตึกแดงครับ แต่… เราไม่ได้ไป เพราะมาถึงสถานีก็ใกล้ถึงเวลาที่รถไฟจะออกแล้ว ก็ได้แต่รีบวิ่งไปหาซื้อเบนโตะครับ (ใครที่หาที่ซื้อเบนโตะไม่เจอ บนชานชาลามีขายนะครับ แต่เป็นร้านเล็กๆมีอาหารให้เลือกอาจจะไม่มากครับ) รอบหน้าถ้าได้มีโอกาสมาที่สถานีโตเกียวอีก เราจะไปเก็บภาพตึกแดงมาฝากครับ
ก่อนขึ้นรถไฟ ก็ถ่ายภาพเป็นที่ระลึกครับ สำหรับรถไฟที่เรานั่ง จะเป็น Shinkansen HIKARI 506 ใช้รถไฟแบบ N700A series วิ่งด้วยความเร็วสูงสุดที่ 300 km/h ส่วนความเร็วเฉลี่ย อยู่ที่ 270 km/h ครับ
ส่วนขนาดนั้นใหญ่โตมาก เพราะมันมีตู้รถไฟมากถึง 16 ตู้ เรียกได้ว่าสามารถขนคนในการเดินทางได้อย่างมากมายเลยครับ เด็ก ๆ ก็ชอบกันมากครับ ในไทยเราผมเองก็ยังไม่ได้พาลูก ๆ ไปขึ้น BTS & MRT เท่าไหร่ เพราะมันไม่ค่อยเหมาะกับการเดินทางด้วยรถเข็นเด็กจริง ๆ ครับ แต่ที่ญี่ปุ่นมันเป็นตรงข้ามกันประเทศเค้า เราสามารถพาเด็ก ๆ พร้อมรถเข็นไปเที่ยวได้ทุกที่เลยครับ พร้อมอำนวยความสะดวกให้เราเที่ยวได้จริง ๆ
Shinkansen Bento ที่ห้ามพลาด
ระหว่างทางแน่นอนว่า คนที่ขึ้น Shinkansen ต้องซื้อมากินเกือบทั้งหมดกับ Bento สำหรับผมก็ประกอบไปด้วย Bento + Asahi ครับ กินไปนั่งดูวิวไป ส่วนลูก ๆ ก็หลับหลังจากที่รถไฟวิ่งออกมานอก Tokyo ได้ไม่นาน ต้องบอกว่า ส่วนตัวผมชอบมากครับ มันเงียบสงบและได้ดูบรรยากาศข้าง ๆ ทางระหว่างทางไป Osaka เราได้เห็นบ้านเมืองเค้าที่พัฒนาไปทั่ว ก็เป็นมุมมองใหม่ ๆ ให้กับชีวิตได้ดีเลยครับ
ช่วงที่เราไปก็เป็นช่วงฤดูหนาวของญี่ปุ่น เดือนกุมภาพันธ์ เดือนที่ขึ้นชื่อว่าหนาวที่สุดในประเทศ วันไปเราไม่ได้เจอหิมะที่โตเกียวครับ แต่ระหว่างทางไปโอซาก้า เราจะเห็นอยู่ตามทางครับ กว่า 3 ชั่วโมงที่วิ่งผ่านภูเขาน้อยใหญ่ บางภูเขาก็ปกคลุมไปด้วยหิมะ สวยงามอย่างกับอยู่ประเทศทางยุโรปเลยครับ
นั่งมาซักพัก พอเห็นเจดีย์นี้ก็เป็นอันต้องเตรียมตัว เพราะเราเดินทางมาถึง Kyoto แล้ว อีกไม่เกินครึ่งชั่วโมง รถไฟก็จะไปจอดที่ Shin-Osaka station ครับ
ถึง Osaka แล้ว !
สุดท้ายเราก็มาถึง Osaka อย่างปลอดภัยครับ คืนแรกก็พักผ่อนตามสบาย ส่วนวันที่สองก็เริ่มทะยอยเที่ยวตามจุด Landmark ของ Osaka ครับ มีไป Kaiyukan, Kobe และ Kyoto เด็ก ๆ ก็ดูแฮปปี้กับเมืองนี้ดีครับ
เตรียมเดินทางกลับ Tokyo
หลังจากอยู่ Osaka กว่า 3 คืน เราก็เตรียมเดินทางกลับไปยังโตเกียวครับ โดยรถไฟที่เรานั่ง ยังคงเป็น Hikari 506 เหมือนเดิม ขากลับใช้เวลาน้อยกว่าขามาเล็กน้อยครับ กับเวลาราว ๆ 2 ชั่วโมง 53 นาที
บรรยากาศระหว่างทาง Osaka – Tokyo
ขากลับจาก Osaka ไปยัง Tokyo เราค่อนข้างโชคดีครับ ได้เจอ Fuji-san ในทัศนวิสัยที่ดีเยี่ยม ขาดไปอย่างเดียวคือไม่ได้ใส่หมวกขาวเท่านั้นเองครับ บรรยากาศดีมากประทับใจจริง ๆ
พาลูกชายคนเล็กมาดู Fuji-san สักหน่อย
ถึง Tokyo Ueno แล้ว !
รอบนี้เราย้ายที่พัก ไปพักในย่าน Ueno ครับ เรามาถึงก็เกือบจะมืดแล้วครับ ได้โอกาสก็แวะกินเนื้อที่อยู่ตรงข้ามสถานี Ueno ครับ บรรยากาศจะลึกลับหน่อย แต่รสชาติดีมาก ๆ เลยครับ
โดยรวม Route แรกก็เป็นอะไรที่ประทับใจ ทั้งในเรื่องของการเดินทางที่รวดเร็วโดย Shinkansen ก็บริหารจัดการต่าง ๆ ก็เป็นไปได้อย่างดีครับ JR Pass ก็ใช้ได้คุ้มค่า
—————————
Route 2 : Ueno -> Nagano
สำหรับ Route 2 เราเดินทางจาก Tokyo ไป Nagano ครับ ที่พักเราอยู่ในย่าน Ueno อย่างที่บอกไปนะครับ เพราะฉะนั้นรอบนี้เราไม่ได้ไปสถานีโตเกียวครับ เราขึ้นที่สถานี Ueno เลย
และเราไปต่างจังหวังRoute นี้ก็ไม่ได้ค้างคืนครับ ไปเช้าเย็นกลับ แต่อาจจะกลับดึกหน่อยครับ
Reserve ที่นั่งก่อนออกเดินทางเช่นเคย
รอบนี้เราจองตั๋วไปเช้าหน่อยครับ เพราะไปเช้า – เย็นกลับ 9:50 ก็ถึงสถานี Ueno แล้ว ที่นั่งก็เป็นตู้รถท้าย ๆ เหมือนเดิม เราอาจจะไม่ได้มีกระเป๋าอะไรมากมายเหมือนตอนไป Osaka แต่เราก็มีรถเข็นเด็ก 2 คันครับ เลยจองไว้สะดวกกว่า
และแน่นอน ยังไม่พลาดที่จะถ่ายรูปกับรถไฟซะหน่อย รถไฟรอบนี้จะเป็น Asama 607 เป็นรถไฟแบบ N700 Series เหมือนตอนไป Osaka เลยครับ
ก็เป็นอีกมื้อที่เราได้ลองกินเบนโตะบน Shinkansen ครับ รสชาติก็พอใช้ได้ อาจจะเย็นไปหน่อย (ผมลองถามพนักงานว่าอุ่นให้ร้อนได้ไหม พนักงานบอกให้ทานทั้งแบบนั้นเลยครับ ไม่ต้องอุ่นร้อนครับ) แต่รวม ๆ ก็ให้บรรยากาศที่ดีเวลานั่งรถไฟ Shinkansen ครับ
ถึงแล้ว Nagano
พอมาถึง Nagano Station เราก็เช่ารถเที่ยวครับ ก็ไปทั่วเมือง อยู่ยันเวลา 2 ทุ่ม เพราะเรากลับรอบ 20:27 ครับ
มีไปดูหิมะ ที่ลานสกีด้วยครับ แต่ด้วยเราไม่ได้เตรียมตัวมา ก็เลยไปแวะพักกินข้าวดูบรรยากาศสัมผัสความหนาวเย็นเฉย ๆ ครับ โดยรวม Nagano ก็เป็นจังหวัดที่พวกเราชอบเช่นกันครับ มีโอกาสจะไปอีกแน่นอนครับ
ขากลับรอบนี้จาก Nagano มา Ueno เนื่องจากรถออกรอบ 2 ทุ่ม กว่า ข้างนอกไม่มีได้เห็นอะไรเลยครับ มืดสนิท ก็นั่งเล่นนั่งคุยกับลูก ๆ ไปยาว ๆ 2 ชั่วโมงกว่าจนถึง Ueno และกลับที่พักครับ
บทสรุป รีวิว JR Pass นั่ง Shinkansen เที่ยว Tokyo – Osaka – Nagano
ก็ต้องบอกว่าประทับใจจริง ๆ ครับกับการได้เที่ยวหลายจังหวัดมาก ๆ กับการใช้ JR Pass แบบ All Area จริง ๆ ถ้าใครอยากจะจัด Trip Shinkansen tour ก็ถือว่าไม่เลว บรรยากาศรอบข้างทางนี่ระดับยุโรปเลยครับ สวยงามทั้งธรรมชาติและความเจริญในเมือง
จะเห็นจากรูปด้านบนว่าเราสามารถกระจายเที่ยวได้หลากหลายภูมิภาคเลยครับ แต่ก็มี Trick มาฝากกันว่า ถ้าใครมีแค่ Specific Area ที่อยากจะไปจริง ๆ ก็จะดีกว่า เพราะมันจะทำให้เราสามารถประหยัดค่าตั๋วรถไฟไปได้เยอะเลยครับ หวังว่าบทความเราจะมีประโยชน์กับทุกคนนะครับ ไว้พบกันใหม่ครับ
JR Pass สามารถซื้อได้ที่ : https://www.klook.com/th/japan-rail-jr-pass/?spm=Home.SearchSuggest_LIST&clickId=84e0b75a18