วิธีเลือกรถเข็นเด็กทารกแบบสไตล์คนญี่ปุ่น 2022

สำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ทุกคน รถเข็นเด็กเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นมาก ถือว่าเป็นไอเทมที่เป็น daily use กันเลยทีเดียว นอกจากเราจะให้ความปลอดภัยและความสบายให้กับลูกของเราแล้ว มันยังเป็นไอเทมที่เราใช้พาลูก ๆ ของเราไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวกอีกด้วย เพราะฉะนั้นคุณพ่อคุณแม่ต้องตัดสินใจให้ดี ในเวลาที่จะซื้อรถเข็นสักคันนึง วันนี้ Daddy Gadget จะพาไปดูวิธีเลือกรถเข็นเด็กแบบสไตล์คนญี่ปุ่นกันครับ

About Aprica 01

1. ปัจจุบันรถเข็นเด็กมีอยู่ 2 ประเภท และความแตกต่างของ Type A และ Type B คืออะไร ?

Type A: 

  • อายุ : 1 เดือนขึ้นไป
  • องศาการเอน : 150 องศาขึ้นไป
  • น้ำหนัก : หนัก
  • ขนาด : ใหญ่
  • ราคา : สูง

Type B:

  • อายุ : 7 เดือนขึ้นไป
  • องศาการเอน : 100 องศาขึ้นไป
  • น้ำหนัก : เบา
  • ขนาด : เล็ก
  • ราคา : ต่ำ
Type A
Type A
Type B
Type B

ตามมาตรฐานของ “SG Standard” ที่ประกาศโดย Consumer Product Safety Association (Japan) แล้วนั้น รถเข็นเด็กควรจะเริ่มใช้เมื่อลูกอายุมากกว่า 1 เดือน หรือรถเข็นเด็กบางประเภทจะต้องรอลูกคอแข็งก่อนหรือ 4 เดือนขึ้นไปถึงจะใช้งานได้ และ บางคันอาจจะต้องรอให้อายุมากกว่า 7 เดือนถึงจะปล่อยให้ลูกนั่งคนเดียวได้

ซึ่งพักหลังมานี้ รถเข็นแบบ Type B จะเริ่มมีรุ่นที่รองรับตั้งแต่เด็กแรกเกิด 1 เดือน จนถึง 3 ขวบได้แล้ว ส่วน Type A เอง ก็มักจะมาพร้อมกับฟีเจอร์ที่สามารถ move องศาการนั่งให้เด็กหันหน้าเข้าหาพ่อกับแม่ได้ แต่ด้วยข้อจำกัดต่าง ๆ ก็อาจจะไม่เหมาะกับเด็กในวัยเริ่มนั่ง หรือวัยที่เดินแล้ว

จริง ๆ แล้ว Type A ออกแบบมาเพื่อให้ใช้งานกับเด็กทารกตั้งแต่แรกเกิดซะเป็นส่วนใหญ่ มีขนาดใหญ่ หนัก และแพง เพราะโครงสร้างที่ทำมาเพื่อ support เด็กทารกแรกเกิดโดยเฉพาะ

ส่วน Type B นั้น จะเป็นรถเข็นเด็กที่ออกแบบค่อนข้าง simple มุมในการเอนนอนก็จะน้อยกว่า น้ำหนักเบากว่า รองรับแรงสั่นสะเทือนได้น้อยกว่า และแน่นอนว่า ราคาก็จะถูกกว่าด้วยครับ

2. แล้วพ่อแม่ควรตัดสินใจเลือกซื้อแบบไหนล่ะ ? ตัดสินใจจากงบประมาณและไลฟ์สไตล์

จริง ๆ ก็เป็นเรื่องที่ไม่ต้องกังวลอะไรมาก หลาย ๆ อย่างขึ้นอยู่กับไลฟ์สไตล์ของครอบครัวครับ ถ้าเรามีสัก 20,000 – 30,000 บาท เราจะสามารถเลือกรถเข็น high performance ได้ยาวยันลูกอายุ 3 ปี ได้สบายเลยครับ แต่สำหรับท่านที่มีงบประมาณจำกัด ก็ยังสามารถหาซื้อรถเข็น Type A ได้ในระดับราคาเริ่มต้นที่ 10,000 – 20,000 บาทอยู่ดี

เมื่อเราตัดสินใจได้จาก Budget ได้แล้ว ถัดมา ก็จะมาคิดกันในเรื่องของไลฟ์สไตล์ ถ้าเราเดินทางบ่อย ๆ ไปไหนมาไหนบ่อย ๆ การที่จะใช้รถเข็นแบบ Type A ก็อาจจะลำบากในการพกพาเดินทาง ก็จะง่ายกว่าถ้าจะพิจารณาเปลี่ยนจาก Type A เป็น Type B แทน เมื่อครบระยะเวลาใช้งานของ Type A บางรุ่นที่จะลิมิตไว้ที่น้ำหนักไม่เกิน 15 KG หรือน้อยกว่านี้

Flacot 05

3. วิธีการเลือกรถเข็นเด็ก : ความสบาย แรงกดทับ และการใช้งานของลูกน้อย

สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับการเลือกรถเข็นนั้น คงหนีไม่พ้นเรื่องความปลอดภัยของลูกเรา เพราะฉะนั้นหารถเข็นที่ให้ความปลอดภัยที่ดีที่สุด โดยพยามหาที่มีมาตรฐานความปลอดภัยกำกับอยู่ รองลงมาคงจะเป็นเรื่องของการลดการสั่นสะเทือน หรือหลาย ๆ เจ้าใช้ฟีเจอร์ว่า egg shock นั่นเอง ส่วนนี้ จะมีผลกระทบกับลูกอายุน้อยมาก ๆ หรือก่อนช่วงคอแข็งแรงนั่นเองครับ ถัดมาก็ดูและระวังเรื่องของข้อต่อต่าง ๆ ของรถเข็น ที่อาจจะหนีบนิ้วมือนิ้วเท้าลูก ๆ ได้ ตรงส่วนนี้อาจจะลองดูในที่พักแขนด้านหน้า หมวกปิดกันแดด เป็นต้น

เรื่องความสูงของเบาะจากพื้นก็เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นความร้อนจากพื้น ที่ต้วของลูกน้อยเองก็จะมีความร้อนสูงกว่าผู้ใหญ่อยู่แล้ว 2-3 องศา ฝุ่นผงต่าง ๆ ทำให้เราควรจะเลือกรถเข็นเด็กที่อยู่ห่างจากพื้นสัก 50 เซนติเมตร หรือ มากกว่า

และสุดท้าย อย่าลืมที่จะพิจารณา เรื่องของความสะดวกในการถอดผ้าส่วนต่าง ๆ มาทำความสะอาดด้วยครับ

 2 1

4. ความสะดวกสบายในการเข็น : ยางขนาดใหญ่หรือเล็ก 4 ล้อ หรือ 3 ล้อ เลือกอย่างไรดี 

ความแตกต่างของไซต์ล้อและยาง

การผ่านสิ่งกีดขวาง การดูดซับแรงกระแทก น้ำหนัก
ยางขนาดเล็ก ผ่านได้ยาก ต่ำ เบา
ยางขนาดใหญ่ ผ่านได้ง่าย สูง หนัก

ความแตกต่างจำนวนล้อและยาง

แรงต้านการเข็น ความมั่นคง น้ำหนัก
ล้อหน้า 1 ล้อ เบา พอได้ เบา
ล้อหน้า 2 ล้อ หนัก สูง หนัก

นอกจากความสบายของลูกแล้ว การที่พ่อแม่จะควบคุมรถเข็นได้ง่าย ก็เป็นอีกส่วนนึงที่ต้องพิจารณาครับ ซึ่งความรู้สึกของการเข็นนั้นจะขึ้นอยู่กับมิติของตัวรถเข็นเด็กและจำนวนของล้อยางนั่นเองครับ มาตรฐานเส้นผ่าศูนย์กลางของล้อยางนั้นจะอยู่ที่ 15 ซม. และถ้ายิ่งใหญ่กว่านี้ ก็จะสามารถพารถเข็นข้ามสิ่งกีดกว้างได้ง่ายยิ่งขึ้นครับ

สำหรับรถเข็นที่มีล้อหน้า 1 ล้อ จะสามารถเคลื่อนที่ได้อย่างง่ายดาย แต่ก็จะแลกมาด้วยความรู้สึกไม่ค่อยมั่นคงเท่าไหร่ ส่วนล้อหน้า 2 ล้อ อาจจะหมุนเลี้ยวลำบาก แต่ก็แลกมาด้วยความมั่นคง ตรงจุดนี้ อาจจะเลือกได้ตามการใช้งานส่วนตัวในครอบครัวได้เลยครับ ถ้าคุณใช้พื้นที่จำกัดในการเดิน ก็ต้องหารถเข็นที่เคลื่อนที่ได้ดีและเบา ล้อหน้า 1 ล้อ ก็อาจจะตอบโจทย์ได้ดีกว่า

5. ง่ายต่อการพกพาและใช้งาน 

ถ้าเราใช้รถเข็นเด็กขนาดใหญ่ มันอาจจะมีความลำบากในการใช้งาน ไม่ว่าจะเดินที่ห้างสรรพสินค้า หรือจะเดินเล่น outdoor สถานที่บางที่ห้างสรรพสินค้าบางแห่ง ไม่ได้เตรียมพื้นลาดเอาไว้ สิ่งเหล่านี้เราต้องพิจารณาเรื่องของน้ำหนักของตัวรถเข็น ประกอบกับขั้นตอนการพับเก็บ มันจะดีมาก ถ้าเราหารถเข็นที่มีฟังชั่นเก็บหรือกางใช้งานได้ภายในจังหวะเดียว

ขนาดของตัวรถเข็นเด็กหลังจากพับเก็บ ก็เป็นอีกหนึ่งในปัจจัยสำคัญ เพราะว่ามันต้องถูกเก็บไว้หลังรถ หรือเก็บไว้ที่บ้าน เราคงไม่อยากเสียพื้นที่ไปมากมายสำหรับรถเข็นเด็กหนึ่งคัน

พื้นที่จัดเก็บของใต้รถเข็นเด็ก ตามมาตรฐานแล้วควรจะมีขนาด 20 ลิตร ถ้าเราได้รถเข็นที่มีที่จัดเก็บขนาดใหญ่มาก เราก็จะสามารถเก็บของดูแลลูก ผ้าอ้อม ของเล่น และ อื่น ๆ ได้อีกมากมาย (จริง ๆ ก็ยันของที่ไปช้อปปิ่งเลยนั่นแหละ)

สรุป

เป็นยังไงกันบ้างครับ จบไปแล้วกับหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ที่ใช้ในการเลือกซื้อรถเข็นตามแบบฉบับของพ่อบ้านสไตล์ญี่ปุ่น จะเห็นว่าเราพูดถึงตั้งแต่ประเภทของรถเข็นเด็ก มาตรฐานความปลอดภัยต่าง ๆ ตลอดจนการเลือกซื้อ หวังว่าจะมีประโยนช์กับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่กันนะครับ

Daddy

Daddy

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *